ภายหลังนายศิธา ทิวารี เลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย ผู้ประกาศตัวเป็นนั่งร้านให้คนรุ่นใหม่ ท่าทีของการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ของ ส.ว. อย่างนายจเด็จ อินสว่าง สมาชิกวุฒิสภา และนายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ สมาชิกวุฒิสภา
เมื่อถามถึงจุดยืนของส.ว.กับคุณสมบัติการเป็นนายกรัฐมนตรี นายกิตติศักดิ์ ระบุว่า ต้องเป็นผู้ที่ภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และไม่สร้างความแตกแยก ไม่ชักนำศึกในและศึกนอกเข้ามาในประเทศ
เลือกตั้ง 2566 : "บิ๊กตู่" ตาม "บิ๊กป้อม" คุยส่วนตัวนอกรอบหลังเลิกประชุม ครม.
เลือกตั้ง 2566 : ผบ.เหล่าทัพ งดโหวตเลือกนายกฯ ไม่ว่ามาจากพรรคการเมืองใด คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
ขณะที่นายศิธา กล่าวถึงในมุม ส.ว. ว่าเป็นผู้ที่มีวุฒิภาวะที่สูงที่สุดในสภาฯ เพราะถูกคัดมาจากหลากหลายอาชีพ ดังนั้นแล้วต้องเป็นกลางทางการเมือง เพื่อผลักดันให้การปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นมุข สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ดังนั้น ส.ว.ต้องเป็นกลาง โดยยืดเสียงของประชาชนเป็นหลัก ยืนยัน การออกมาวันนี้ก็เพื่อระบบประชาธิปไตย แล้วการแก้ไข ม.112 ควรจะคุยกัน ไม่ควรมานั่งแบ่งวันใครเด็ก ใครผู้ใหญ่ เพราะคนที่แบ่งอยู่ในขณะนี้ก็คือพวกคุณ
ขณะที่นายจเด็จ กล่าวถึง การแก้ไข ม.112 ของพรรคก้าวไกล ไม่เห็นว่าจะต้องเข้าไปแก้ไขอะไร ยืนยัน ส่วนตัวไม่เห็นด้วย ที่ผ่านมาตนไม่เป็นกลางอยู่แล้ว เพราะมีจุดยืนปกป้องต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
"วันนี้ถ้าคุณพิธา และพรรคก้าวไกล ยังคิดแก้ไข ม.112 ผมก็ไม่รับ เพราะผมได้ปฏิญาณตน ว่าจะซื่อสัตย์ต่อประเทศชาติและประชาชน ในการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข แล้วผมก็กล่าวคำปฏิญาณไว้ ผมจะเล่าให้ฟังนะ ว่าประชาธิปไตย เดี๋ยวจะหลง ประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่องของเสียงสวนใหญ่นะ ประชาธิปไตยในความหมายจริงๆ คือเรื่อง ของประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ ท่านพุทธทาสบอกไว้ว่า เสียงส่วนใหญ่เป็นเสียงบ้าๆ บอๆ ก็ได้ แต่ถ้าประโยชน์ของคนส่วนใหญ่มันชัดเจน" จเด็จ กล่าว
ด้านกิตติศักดิ์ ยังสวนกลับนายศิธา ถึงเรื่องของความเป็นกลาง ว่า ส.ส.ไม่ทุจริต ไม่โกง ที่ส่อไปให้เกิดความวุ่นวาย ทหารก็คงไม่ออกมาปฎิวัติ ที่ทหารออกมาเป็นเพราะนักการเมืองไม่ยอมพูดความจริง ดังนั้นอย่าหาว่า ส.ว.ไม่เป็นกลาง
เมื่อถามว่าวันนี้ ส.ว.ควรเครพเสียงของประชาชนหรือไม่ ในฐานะที่พรรคก้าวไกล คะแนนมาอันดับ 1 เรื่องนี้นายกิตติศักดิ์ กล่าวว่า ตนเคารพเสียงประชาชน แล้วเสียงนั้นต้องเป็นเสียงเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ การที่พรรคก้าวไกล ไปแก้ไข ม.112 ก็ไม่ใช่เรื่องประโยชน์คนส่วนใหญ่แล้ว
ที่ผ่านมาหลายคนอาจเป็นห่วงว่า จะไปยกเลิก ม.112 เลยหรือไม่ นายศิธา ระบุว่า คงไม่มีใครไปกล้ายกเลิก เพราะคนส่วนใหญ่คงไม่ยอม เชื่อว่าเมื่อถึงเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ แล้ว ก็จะไม่มีใครกล้ายกเลิกแน่นอน วันนี้ตนให้นายกิตติศักดิ์ เป็นบัวที่จะอยู่ในจุดที่คุยรู้เรื่อง ขณะที่นายจเด็จก็ปริมน้ำ วันนี้ต้องมองว่าเรากำลังจะแก่ลงไปเรื่อยๆ แล้วการมาแก้ไข ม.112 นี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่รักชาติ หรือ สถาบัน จึงอยากให้มุมในหลายด้าน
ทั้งนี้ หากมองลึกลงไปในมุม ส.ว.ของการแก้ไข ม.112 นายจเด็จ ย้ำว่า เป็นเพราะพรรคก้าวไกล ได้กำหนดเป็นนโยบาย หากจะแก้ไขเพื่อลดโทษ ก็เพื่อให้สามารถดูหมิ่นสถาบันง่ายขึ้นใช่หรือไม่ แล้วยังเป็นห่วงถึงการแก้ไขข้อที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน ว่าจะลุกลามไปถึง มาตรา 6 ในรัฐธรรมนูญ
ส่วนประเด็นที่จะให้ ส.ส.ไปเปิดใจ ลองขอคะแนนผ่าน ส.ว. เรื่องนี้ นายกิตติศักดิ์ มองว่า การเลือกนายกฯ ต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน แต่หากวันนี้คนที่จะมาขอคะแนน ส.ว. แล้วยังมาดูถูกดูหมิ่น กระแนะกระแหน มองว่าไม่มีสัมมาคาราวะ แล้วหากยังพูดจาดูถูกดูหมิ่นอยู่อย่างนี้ ส.ว.ก็จะพิจารณาตามหน้าที่ แล้วอำนาจของ ส.ว.ที่มีอยู่
"คนเราถ้าดูหมิ่น เหยียดหยามกันแบบนี้ ก็ต่างคนต่างปฏิบัติหน้าที่"กิตติศักดิ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม นายศิธา ระบุว่า วันนี้พรรคที่มีคะแนนเสียงพอที่จะจัดตั้งรัฐบาล ขณะนี้ประชาธิปไตยเราไปไม่ได้ เนื่องจากกลไกลของเผด็จการที่ฝังเอาไว้ แต่สิ่งที่มองในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นพรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย หรือใครก็แล้วแต่ ที่ได้เสียงจากประชาชน เราต้องการให้ประชาธิปไตยเดินหน้า แล้วใน ส.ว.ถือเป็นส่วนหนึ่งของกลไกลรัฐสภา กลไกลของประชาธิปไตย แต่มาวันนี้หลายคนกลับบอกว่าจะเป็นกลางด้วยการไม่โหวต จึงอยากเรียกร้อกให้คิดรอบครอบ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ พร้อมย้ำว่า หากวันนี้ใครออกมาดูหมิ่น หรือ อยากเปลี่ยนแปลงการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตนก็จะออกมาปกป้องเช่นกัน แต่การมาในวันนี้นั้นคือ การพูดถึงในหลักการ ที่จะทำอย่างไร ให้ประชาชนยืนยงสถาพรตลอดไป
ส่วนจุดยืนการโหวตนายกรัฐมนตรี นายกิตติศักดิ์ ย้ำว่า วันนี้ตนยังไม่เคยไปพูดเลย ว่าจะโหวตให้กับใคร เพราะกกต.ยังไม่รับรองผลการเลือกตั้ง จึงขออย่ามาร้อนร้นรีบถามในตอนนี้ หากจะเป็นพลเอกประยุทธ์ หรือ พลเอกประวิตร จะโหวตให้หรือไม่ เรื่องนี้ต้องไปรวมเสียงกันมาให้ได้เกินครึ่ง ส.ว.ยกมือให้แน่นอน แต่ตอนนี้คงเป็นไปไม่ได้ ส่วนที่ไม่ยกให้นายพิธา เลยก็เพราะว่าเป็นเรื่องความเห็นส่วนตัว ตนดูที่ความประพฤติ เราดูจุดอ่อน จุดด้อย มองรอบด้าน
ขณะที่นายจเด็จ ย้ำจุดยืนอีกครั้ง ว่าตนไม่มี NO โหวต แต่ตนไม่เห็นชอบให้นายพิธา เลย ส่วน ส.ว.คนอื่นจะเป็นอย่างไรนั้นตนไม่เห็นด้วย แม้หากวันนี้จะรวมเสียงกันได้มา 370 เสียง เพราะวันนี้จะไม่ผ่านของ ส.ว.คงไม่ใช่เรื่อง แต่เป็นเพราะการเขียนนโยบายเช่นนี้ ที่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย
พร้อมทั้งอยากให้นายศิธา ไปทำความเข้าใจคนรุ่นใหม่ ถึงกระแสนี้ ว่าถูกต้องหรือไม่ ในมุมมองกระแสที่ถูกต้องมีประโยชน์ต่อประเทศชาติบ้านเมือง ไม่ใช่ไปด้อยค่าสถาบันถือว่าไม่ถูกต้อง
"วันนี้จะให้ผมยอมรับ ส.ว.ยอมรับ เขาได้เสียงข้างมากมา 14 ล้านเสียงกว่า ให้ประชาธิปไตยทำงานต่อไป โดยจะต้องยืดถือยกเลิก ม.112 อยู่ ผมรับไม่ได้หรอก" จเด็จ กล่าว