ระหว่างการให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวจากสถานีโทรทัศน์ของรัฐบาลรัสเซีย ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ระบุว่ารัฐบาลรัสเซียมีคลัสเตอร์บอมบ์เก็บไว้ในระดับที่มากเพียงพอและพร้อมนำออกมาใช้งานหากกองกำลังรัสเซียในยูเครนถูกโจมตีด้วยอาวุธชนิดนี้
อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดี ปูติน วิจารณ์ว่าการใช้คลัสเตอร์บอมบ์เป็นการก่ออาชญากรรมอีกประเภทหนึ่งตามที่เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวของสหรัฐฯเคยให้ความเห็นไว้ก่อนหน้านี้
โดยในช่วงแรกของสงครามในยูเครนที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อช่วงปลายเดือน ก.พ.ปีที่แล้ว เจน ซาสกี (Jen Psaki) โฆษกทำเนียบขาวในเวลานั้นได้ระบุว่าการใช้คลัสเตอร์บอมบ์อาจเข้าข่ายการก่ออาชญากรรมสงคราม
เกาหลีใต้ประกาศควัก 5 พันล้านบาทช่วยยูเครน
ปูตินเสนอชื่อ “แอนเดรย์ โทรเชฟ” เป็นหัวหน้ากลุ่มแวกเนอร์คนใหม่ คำพูดจาก ปั่นสล็อตแตกทุกเกม
นายพลรัสเซียโดนไล่ออก หลังจากวิจารณ์ปัญหากองทัพรัสเซีย
นอกจากนี้ ผู้นำรัสเซียยังเชื่อว่าสาเหตุที่สหรัฐฯอนุมัติการจัดส่งคลัสเตอร์บอมบ์ให้แก่ยูเครนเป็นเพราะว่ากำลังขาดแคลนเครื่องกระสุน เนื่องจากอัตราการใช้งานของยูเครนในขณะนี้มีสัดส่วนที่สูงเกินกว่าปริมาณเครื่องกระสุนในสต็อกของชาติตะวันตก
โดย ประธานาธิบดี ปูติน ยืนยันว่ารัสเซียยังไม่ได้นำคลัสเตอร์บอมบ์ออกมาใช้งาน ซึ่งสวนทางกับข้อมูลของสหประชาชาติที่เปิดเผยในเดือน มี.ค.ที่ผ่านมาว่าได้รับรายงานที่น่าเชื่อถือหลายฉบับเกี่ยวกับการใช้คลัสเตอร์บอมบ์อย่างน้อย 24 ครั้งของกองทัพรัสเซีย ซึ่งเกิดขึ้นในพื้นที่ที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น
อีกคนที่ออกมาวิจารณ์การตัดสินใจดังกล่าวของสหรัฐฯ คือ อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลกที่โพสต์ข้อความบนทวิตเตอร์เมื่อวันเสาร์ระบุว่าสาเหตุที่ต้องส่งคลัสเตอร์บอมบ์ไปช่วยยูเครนเพราะรัสเซียมีกระสุนปืนใหญ่มากกว่ายูเครนไม่น้อยกว่า 4 เท่า และมีเครื่องกระสุนมากกว่า 10 เท่า
ขณะที่สหรัฐไม่มีเครื่องกระสุนแบบปกติเหลืออยู่แล้ว จึงต้องส่งอาวุธชนิดนี้ไปให้ ซึ่งเป็นการลดคุณค่าของตัวเอง โดยที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ได้
นอกจากนี้ มัสก์ ยังยกย่องสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯพรรครีพับลิกัน 98 คน และพรรคเดโมแครต 49 คน ที่ลงคะแนนเสียงไม่เห็นชอบแผนการส่งคลัสเตอร์บอมบ์ให้ยูเครน โดยได้ขอบคุณที่พยายามขัดขวางไม่ให้สหรัฐฯลดคุณค่าของตัวเอง แม้จะไม่ประสบความสำเร็จ
ขณะที่สำนักข่าวนิวยอร์กไทมส์รายงานว่ายูเครนได้สูญเสียอาวุธและยานพาหนะไปมากถึง 20 เปอร์เซนต์ในช่วงแรกของปฏิบัติการรุกกลับเพื่อยึดคืนดินแดนที่สูญเสียไปให้แก่รัสเซีย
โดยอัตราการสูญเสียอาวุธที่เกิดขึ้นทำให้ฝ่ายยูเครนต้องทบทวนยุทธศาสตร์ใหม่และชะลอการเคลื่อนกำลังเล็กน้อย ซึ่งช่วยให้ลดความสูญเสียได้ในช่วงหลายสัปดาห์ต่อมาหลังเปิดฉากปฏิบัติการรุกลับ
รายงานดังกล่าวของนิวยอร์กไทม์อสอดคล้องกับคำพูดของ ประธานาธิบดี โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน ที่ยอมรับว่าปฏิบัติการรุกกลับมีความคืบหน้าไม่มากนัก เนื่องจากเผชิญการต่อต้านอย่างเข้มข้นจากกองทัพรัสเซีย ที่ทุ่มเททรัพยากรทุกอย่างเพื่อหยุดยั้งการรุกคืบของทหารยูเครนในพื้นสมรภูมิตะวันออกและภาคใต้ ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของกองทัพยูเครน